ภูกระดึง หน้าฝน เขาว่ากันว่าลำบาก ทากเยอะ เฉอะแฉะ อย่าไปเลย แต่ก็ยังเห็นมีคนเดินขึ้นภูกระดึงกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งอยู่ดี ทำไมนะเหรอ ก็เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่มีโอกาสเจอทะเลหมอกได้มากกว่าหน้าหนาว และที่สำคัญช่วงนี้น้ำตกจะสวยสุดๆไปเลยนะเออ

หลังจากวางแผนและกำหนดวันเรียบร้อยเราก็โพสหาสมาชิกลงในกลุ่มของเราเหมือนเช่นเคย วันเดินทางเรานัดหมายสมาชิกทุกคนที่ลานจอดรถ BTS หมอชิต กำหนดรถออกคือเวลา 20:00 น. เมื่อสมาชิกทุกคนมาพร้อมกันแล้วเราก็ออกเดินทาง รถตู้ของเรามุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จังหวัดเลย กันทันที


*บางภาพอาจจะไม่ได้เรียงตาม Timeline จริงนะ 
เพราะรูปเยอะมาก จำไม่ได้ว่ารูปไหนถ่ายตรงไหน


-------------------------------------
 

DAY 1


เวลาประมาณตีสาม เราก็มาถึงอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จังหวัดเลย ก่อนเข้าข้างในเราต้องชำระค่าเข้าอุทยานแห่งชาติให้เรียบร้อยกันเสียก่อน เมื่อเรียบร้อยแล้วก็จะได้ตั๋วมา ในตั๋วระบุวันที่ ระบุเวลา และจำนวนคนไว้เรียบร้อย หลังจากผ่านด่านเก็บเงินมาแล้วรถตู้ของเราก็เข้ามาจอดจอดตรงลานจอดรถ ซึ่งสมาชิกทุกคนก็ตื่นพร้อมเริ่มต้นวันใหม่กันอยู่แล้ว


เราขนสัมภาระของเราที่จะเอาขึ้นไปบนภูกระดึงไปวางกองกันไว้ที่ตรงจุดชั่งน้ำหนัก ระหว่างนี้ก็ทำได้แค่รอเพราะยังไม่ถึงเวลาทำการ แต่ก็เป็นเวลาเหมาะสมที่สมาชิกทุกคนจะได้ไปล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน เข้าห้องน้ำ แต่งเนื้อแต่งตัวให้พร้อมสำหรับขึ้นภูกัน หมวก ร้องเท้า ถุงเท้ากันทาก หรืออะไรก็ตามแต่ที่ขนกันมาก็เอาออกมาใส่ให้เรียบร้อยกันตั้งแต่ตรงนี้ เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วสัมภาระที่เหลือทุกชิ้นก็ถูกยัดลงกระเป๋าอย่างเรียบร้อยเพื่อเตรียมจ้างลูกหาบขนขึ้นไปให้แทน


เมื่อถึงเวลา ลูกหาบและเจ้าหน้าที่ก็มาและพร้อมให้บริการทันที เจ้าหน้าที่ประกาศใครพร้อมแล้วเอากระเป๋ามาจ้างลูกหาบได้เลย ซึ่งมันวุ่นวายมาก คนก็กรูกันเข้าไปอย่างบ้าคลั่งแทบจะเหยียบกันตาย การแซงคิว การมุดเชือก คือทำกันอย่างเอิกเกริกแบบไม่มีใครต้องอายใคร ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเปลี่ยนระบบการทำงานหรือยังไง เพราะที่เคยมาก่อนหน้านี้เขาจะมีบัตรคิว แต่วันนี้ไม่มีไง ใครไคร่เบียดก็เบียด ใครไคร่แซงก็แซง เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้สนใจว่าใครมาก่อนมาหลัง ใครส่งกระเป๋าให้ก็จับชั่งน้ำหนักหมด แต่ก็เอาเถอะ ความชุลมุนวุ่นวายมันก็อยู่ไม่นาน ประมาณ 30 นาทีก็เริ่มเข้าที่เข้าทางเพราะคนเริ่มต่อคิวกันเอง เราเอากระเป๋าที่ติด Tag แล้วไปต่อแถวจ้างลูกหาบ ขั้นตอนคือเจ้าหน้าที่จะชั่งกระเป๋าเราว่าหนักกี่กิโลกรัม แล้วฉีกหาง Tag ส่งให้ให้เรา ส่วนกระเป๋าส่งไปให้ลูกหาบ แค่นี้เป็นอันจบ เรายังไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ยังไม่ต้องจ่ายเงิน เดี๋ยวลูกหาบเขาจัดการแบกกระเป๋าขึ้นไปข้างบนให้เราเอง


หลังจากนั้นเราก็ต้องขยับไปอีกหนึ่งจุด เป็นจุดแสดงประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เราก็แสดงประวัติไปตามปกติเจ้าหน้าที่ก็จะให้บัตรสำหรับผ่านขึ้นภูมาคนละ 1 ใบ ส่วนใครที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแต่อยากขึ้นภูก็จะต้องทำการตรวจ ATK แทนและต้องจ่ายเงินค่าตรวจเองด้วย เมื่อจุดนี้เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเริ่มต้นผจญภัย ได้เวลาเดินขึ้นภูกระดึงกันแบบจริงๆจังๆกันเสียทีนะ




จุดเริ่มต้นสำหรับการเดินขึ้นเขาเรียกว่า บ้านศรีฐาน หรือเข้าใจง่ายๆก็คือตีนเขานั่นแหละจ้า ก่อนเดินก็แวะถ่ายรูปกับหลักกิโลแลนด์มาร์คกันซักหน่อย ทางขวามือจะมีไม้ไผ่ที่สามารถหยิบไปใช้เพื่อเป็นไม้ค้ำได้ แต่ก็มีจำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลยนะ หลังจากทำพิธีกรรมถ่ายรูปโพสลงโซเชียลกันแล้วก็เริ่มเดินจ้า คำว่าเริ่มจากง่ายๆก่อนไม่สามารถใช้ได้กับภูกระดึง ที่นี่คือเริ่มแรกก็คือทางชันมารอต้อนรับเลยจ้าา เลือกอะไรไม่ได้ก็ไต่กันขึ้นไป ก้าวสั้นบ้างยาวบ้างก็ค่อยๆก้าวกันขึ้นไป ทางเดินทั้งหมดเปียกชื้นเพราะฝนตกก่อนหน้านี้แต่ยังไม่ถือว่าลื่นนะ ยังเดินได้ชิลๆอยู่ ถ้าไม่นับเรื่องความชันนะ เราจะต้องเดินไต่เขากันขึ้นไปประมาณ 800 เมตรจึงจะถึงจุดที่เรียกว่า ปางกกค่า ซึ่งก็ไม่มีอะไรให้ดูหรอก ไม่ต้องตื่นเต้นตกใจ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้ว่าเรากำลังจะถึงซำแรกแล้วในอีก 200 เมตรข้างหน้า




เดินเลยจาก ปางกกค่า มาอีกประมาณ 200 เมตรเราก็จะมาถึง ซำแฮก หลายๆคนบอก ซำแฮกเหนื่อยที่สุด แต่เราว่าน่าจะเป็นเพราะร่างกายพึ่งเริ่มต้นทำงานมากกว่า ที่ ซำแฮก นี้จะมีร้านขายของมากมายหลายอย่าง ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ผลไม้ ชุดกันฝน ถุงกันทาก ปูนขาว เสื้อ กระเป๋า เป็นต้น และแม่ค้าก็คือนักขายมืออาชีพที่ควรได้รางวัล เพราะแม่ค้าที่นี่จะเรียกลูกค้าอย่างบ้าคลั่งเหมือนกับเป็นการค้าขายครั้งสุดท้ายของชีวิต นักท่องเที่ยวก็พึ่งปีนเขาขึ้นมาเหนื่อยๆสติยังไม่เข้าที่เข้าทางดี โดนแม่ค้าเรียกก็ควักเงินซื้อของกันไปแบบงงๆเหมือนโดนป้ายยา แต่อย่าไปคิดมาก ถือซะว่าอุดหนุนชาวบ้านไป แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เพื่อนๆเดินเลยเข้าไปอุดหนุนร้านที่อยู่ด้านในกันด้วยนะ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนมากมักจะแวะกันที่ร้านแรกๆ ร้านในๆก็ได้แต่นั่งมองกันเพราะไม่มีคนซื้อ ช่วยกันกระจายรายได้ดีกว่าเนอะ




สินค้าที่น่าจะมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งคิดว่าน่าจะเป็นแตงโมล่ะมั้ง นักท่องเที่ยวนิยมซื้อกันมากจนน่าประหลาดใจ จะไม่ให้ขายดีได้ยังไง ก็หลายๆคนชอบรีวิวกันว่า แตงโมภูบนกระดึงอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมาในชีวิต รีวิวซะอย่างกับว่ามันอร่อยล้ำเลิศรสยืนหนึ่งที่สุดในโลกหาที่ไหนมาเปรียบไม่ได้อีกแล้ว รีวิวตามๆกันจนแตงโมกลายเป็นสินค้า GI ของภูกระดึงไปแล้ว ตอนนี้ใครไปภูกระดึงก็คือต้องซื้อแตงโมมากินเพราะในรีวิวบอกว่าให้กิน บางคนไม่ได้อยากกินแต่ซื้อมาเพราะแค่จะเอามาถ่ายรูปก็มีนะ แต่ถ้าถามเรามันก็คือแตงโมทั่วๆไปนั่นแหละ อุปทานหมู่ตามรีวิวกันไปเอง




เลิกบ่นแล้วเดินต่อกันดีกว่า จาก ซำแฮก เดินกันต่ออีกประมาณ 700 เมตร ก็จะถึง ซำบอน ที่นี่ไม่มีร้านค้า จะมีแค่ป้ายเท่านั้น แน่นอนเราก็ต้องถ่ายรูปก่อนแล้วค่อยเดินต่ออีกประมาณ 440 เมตรจนถึง ซำกกกอด ซึ่งก็ยังไม่มีร้านค้าเช่นกัน และด้วยความที่เป็นช่วงหน้าฝน เส้นทางจึงชุ่มช่ำไปด้วยน้ำ ทางเดินบางช่วงเป็นโคลนเละๆ รอยเท้ามากมายนับไม่ถ้วนที่ประทับไว้ทำให้เราพอจะรู้ว่าตรงไหนควรเดินตรงไหนควรเลี่ยง บางช่วงเป็นดินเหนียวหนึบแบบว่าดูดรองเท้าเราไว้แน่นจนแทบยกไม่ขึ้น ไม่ใช่พูดเล่นๆนะ เพราะบางคนก็คือยกรองเท้าขึ้นมาได้แต่พื้นรองเท้าถูกดูดติดไว้ที่พื้นเลย ยกขึ้นมาได้แต่รองเท้าเปล่าๆไม่มีพื้นรองเท้าติดมาด้วย บางช่วงก็เป็นร่องน้ำจนเหมือนมีน้ำตกเล็กๆตลอดเส้นทาง





ผ่าน ซำกกกอด มาประมาณ 200 เมตรก็จะถึง ซำกอซาง ที่นี่มีร้านค้าเหมือนกับที่ซำแฮก ใครอยากแวะพักแวะซื้อน้ำซื้อขนมก็ตามสะดวก แต่เรายังไม่ได้เหนื่อยมากก็จะไม่แวะ เดินต่อประมาณแค่ 140 เมตรก็จะถึง พร่านพรานแป ซึ่งไม่มีอะไร ต้องเดินต่อไปอีก 440 เมตรจะถึง ซำกกหว้า ซึ่งจะมีร้านค้าอีกครั้ง และในที่สุดหนึ่งในสมาชิกของเราก็ต้องเสียเงินซื้อสตั๊ดดอยมาใส่จนได้ เพราะว่าระหว่างทางรองเท้าพังไปแล้วเรียบร้อย ส่วนสมาชิกคนอื่นๆก็มีทั้งพื้นเปิดบ้าง สายขาดบ้าง อาการแตกต่างกันไป







เดินต่ออีกประมาณ 460 เมตรจะถึง ซำกกไผ่ ซึ่งไม่ได้มีอะไร ต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 300 เมตรจึงจะถึง ซำกกโดน ที่จะมีร้านค้าอีกครั้ง แนะนำให้นั่งพัก กินน้ำกินขนมที่ซำนี้ หายใจให้คล่องๆ เพราะนรกมันจะอยู่หลังจากนี้ไปจ้าาาา ล้อเล่นน่ะ อย่าจริงจังซิ





ออกจาก ซำกกโดน ทางจะชันขึ้นมาก เห็นบันไดแล้วเพลงเลือกได้ไหมของซาซ่าก็ดังขึ้นมาในหัวทันที แต่ก็เอาเถอะ ค่อยๆเดินขึ้นไป อีกประมาณ 450 เมตรก็ถึงซำสุดท้าย ซึ่งนั่นก็คือ ซำแคร่ แล้ว ใครคิดว่าที่ผ่านมาชันแล้ว ขอให้รอหลังจากนี้จ้าพี่น้อง เตรียมข้อเท้าให้พร้อม เราเตือนคุณแล้วนะ เพราะเมื่อออกจากซำแคร่ เส้นทางก็จะจะชันโคตรๆเหมือนโกรธใครมา เส้นทางนี้จะเต็มไปด้วยก้อนหิน แน่นอนต้องปีนป่ายนิดๆหน่อยๆ และคุณจะเจอบันไดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคุณเลิกนับว่าผ่านมาแล้วเท่าไหร่ กลั้นใจเดินไปเถอะ ถ้าคุณเจอบันไดคู่สุดโหดตั้งชันแทบจะ 90 องศาเมื่อไหร่นั่นแสดงว่าคุณใกล้ถึงแล้ว หายใจไว้ ฮึบ ฮึบ เราเดินไปเรื่อยๆ ปีนหินปีนบันไดไปจนนับไม่ไหว ระยะทางประมาณ 1,300 เมตรจนในที่สุด ในที่สุด ในที่สุดก็ถึงยอดเขาแล้วโว้ยยย












ยอดเขาตรงจุดที่เราขึ้นมาถึงนี้เรียกว่า หลังแป ระยะทางตั้งแต่ตีนเขา (บ้านศรีฐาน) ขึ้นมาถึง หลังแป รวมแล้วประมาณ 5.5 กิโลเมตร เหมือนไม่ไกลมากแต่มันลำบากตรงที่มันเป็นทางขึ้นเขานี่แหละ และตรงนี้จะมีป้าย ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง เป็นแลนด์มาร์คที่เกือบทุกคนต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความภาคภูมิใจ ตอนที่เรามาถึงก็คือหมอกลงเต็มๆ อากาศสดชื่น แดดไม่ร้อนเลย





Tip ! ภูกระดึง เป็นภูเขาที่มีลักษณะคล้ายๆขนมเค้ก คือไม่มียอดแหลม ด้านบนเป็นที่ราบขนาดใหญ่เกือบทั่วทั้งหมด

แม้ว่าจะขึ้นมาถึงยอดเขาแล้วก็ตาม แต่เรายังไม่ถึงที่พักของเรานะ เราต้องเดินต่ออีกไปยังจุดที่เรียกว่า วังกวาง ระยะทางจาก หลังแป ไปถึง วังกวาง คือประมาณ 3.5 กิโลเมตร แต่จะเป็นพื้นราบไปตลอดเส้นทาง ไม่ต้องปีนป่ายไต่เขากันอีกแล้ว ระหว่างที่เราเดินหมอกฟุ้งๆก็ยังคงปกคลุมไปทุกพื้นที่ กำลังเดินเพลินๆระหว่างทางก็พบอีกหนึ่งแลนด์มาร์คนั่นก็คือ ต้นสนเดียวดาย หรือต้นสนนักเลง หรือต้นสนในตำนาน สารพัดชื่อแล้วแต่ว่าใครจะเรียกยังไง ลักษณะคือเป็นคุณต้นสนสูงหนึ่งต้นตั้งอยู่โดดเด่นกลางทางเดิน แน่นอนว่าเราก็ต้องแวะถ่ายรูปกันอยู่แล้ว จากนั้นก็เดินกันต่อไปเรื่อยๆเพลินๆ ซักพักหมอกก็หายไปกลายเป็นท้องฟ้าสดใส แต่แดดก็ยังไม่ร้อนนะ จนในที่สุดเราก็เดินมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง








  • บ้านศรีฐาน -> 800 เมตร
  • ปางกกค่า -> 200 เมตร
  • ซำแฮก -> 700 เมตร
  • ซำบอน -> 440 เมตร
  • ซำกกกอก -> 200 เมตร
  • ซำกอซาง -> 140 เมตร
  • พร่านพรานแป -> 440 เมตร
  • ซำกกหว้า -> 460 เมตร
  • ซำกกไผ่ -> 300 เมตร
  • ซำกกโดน -> 450 เมตร
  • ซำแคร่ -> 1,300 เมตร
  • หลังแป -> 3,500 เมตร
  • ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง

เราติดต่อที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว รับกุญแจบ้านพักที่จองไว้ ปกติแล้วเราจะนอนเต้นท์เพื่อเอาบรรยากาศ แต่รอบนี้เรามาหน้าฝนเราเลยเลือกนอนบ้าน โอกาสเจอฝนจะสูงมาก ไหนจะน้องทากตัวน้อยที่จะคลานกันไปๆมาๆอย่างน่ารักน่าเอ็นดูอีก ก็เลยเลือกนอนบ้านดีกว่า บ้านพักของเราในทริปนี้คือ บ้านหยาดน้ำค้าง4 เป็นบ้านหลังใหญ่และซอยเป็น 4 ห้องคล้ายๆกับห้องแถว เราได้ห้องเบอร์ 4 ริมขวาสุดก็เลยจะมีหน้าต่างให้ด้วยหนึ่งฝั่ง ในห้องจะแบ่งเป็นฝั่งซ้ายขวาและมีฟูกนอนวางเรียงกันฝั่งละ 5 อัน รวมแล้วนอนได้ 10 คน และมีห้องน้ำ 1 ห้อง พร้อมห้องแต่งตัวที่กว้างมากกกกกจนอยากถามว่าจะกว้างไปไหน ถ้ามีที่เหลือขนาดนี้ทำห้องน้ำเพิ่มอีก 2 ห้องยังได้เลยนะจ๊ะพี่จ๋า

        สำหรับใครที่สงสัยว่าห้องเก็บเสียงไหม บอกเลยว่า ไม่ ไม่ ไม่ ไม่เก็บเสียงใดๆเลยจ้าา ห้องข้างๆคุยกัน ลากกระเป๋า เก็บของ เดินเข้าเดินออก ก็คือเราได้ยินทั้งหมด ได้ยินชัดเหมือนอยู่ในวงสนทนา ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็น่าจะจะได้ยินเราด้วยเช่นกัน






จากนี้ไปเป็นช่วงเวลาพักผ่อนอิสระ บางคนก็เลือกที่จะนอนหลับพักผ่อนไปเลยก็มี บางคนกระเพาะเรียกร้องก็ออกไปหาของกิน บางคนเป็นนักสำรวจก็ออกไปเดินสำรวจบริเวณใกล้เคียง

วังกวาง เป็นโซนที่มีคนอยู่พลุกพล่านมากที่สุดบนภูกระดึง เพราะมีทั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ลานกางเต้นท์ ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ บ้านพัก ร้านเช่าจักรยาน อาคารทำการต่างๆ ร้านอาหารที่นี่จึงมีเยอะแยะมากมายอย่างกับงานแฟร์ นักท่องเที่ยวส่วนมากเดินมาแล้วจะเลือกร้านที่อยู่ฝั่งขวามือเพราะว่าใกล้และมองเห็นได้ง่ายกว่า เราเลยเลือกไปทางฝั่งซ้ายเพราะคนน่าจะวุ่นวายน้อยกว่า(คิดเอาเอง) ตลอดทั้งสามวันเราเลือกฝากท้องไว้ที่ร้านบุญมีโอชา ร้านนี้อาหารอร่อย พ่อค้าแม่ค้าก็ใจดีด้วย ร้านค้าที่นี่จะใช้ไฟฟ้าจากแผงโซล่าเซล ซึ่งเราสามารถเอาพาวเวอร์แบงค์หรือโทรศัพท์มาขอชาร์ตทิ้งไว้ได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับกำลังไฟที่ทางร้านมีด้วยนะ ไม่ใช่ว่าจะขอชาร์ตอย่างเดียว


สำหรับพวกกระเป๋าที่เราจ้างลูกหาบขนขึ้นมานั้นก็ไม่ต้องกังวล เมื่อลูกหาบมาถึงเขาจะโทรบอกเราเอง โดยลูกหาบจะรออยู่ที่ศาลาใกล้ๆกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เราก็ไปรับกระเป๋า จ่ายเงินค่าจ้าง ไม่มีอะไรซับซ้อน เวลาประมาณ 17:00 น. จากท้องฟ้าสดใสก็กลายเป็นฝนตกเปาะแปะ ลำพังฝนไม่หนักมากหรอก แต่หมอกคือลงจัดมากๆปกคลุมไปทั่วทั้งวังกวางมองอะไรแทบไม่เห็นเลย เป็นอันว่าจบสำหรับวันนี้ นอนหลับพักผ่อนเอาแรงกันดีกว่า เจอกันใหม่วันพรุ่งนี้จ้าา













DAY 2



เช้าวันที่สองเราตื่นกันตั้งแต่เช้ามืดเพราะเราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ ผานกแอ่น ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 1.7 กิโลเมตร ถ้าใครไม่อยากไปจะนอนต่อก็ได้ตามสบาย นักท่องเที่ยวที่จะไปจะมารวมตัวกันที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และเวลา 5:00 น. ก็จะมีเจ้าหน้าที่อุทยานเป็นคนพานักท่องเที่ยวไปพร้อมๆกันทั้งหมด ผานกแอ่นเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามและอยู่ใกล้ลานกางเต้นท์วังกวางมากที่สุด และในวันที่เราไปก็นับว่าโชคดีมากเพราะได้เจอทะเลหมอกสวยๆสมใจ ไม่เสียเที่ยวที่อุส่าพากันเดินขึ้นภูมาในช่วงหน้าฝนเลยนะ










หลังจากชมทะเลหมอกกันจนพอใจแล้วเราก็ค่อยๆเดินกลับมาที่วังกวางเพื่อหามื้อเช้ากินและเตรียมตัวสำหรับผจญภัยกันต่อไป เวลา 8:00 น. สมาชิกทุกคนก็พร้อมออกเดินทาง โดยเป้าหมายในวันนี้ของเราก็คือ ผาหล่มสัก หน้าผาฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของภูกระดึงที่อยู่ห่างจากวังกวางไปประมาณ 9 กิโลเมตร รวมระยะทางไปกลับวันนี้ไม่ต่ำกว่า 18 กิโลเมตรแน่นอน ซึ่งนักท่องเที่ยวมีทางเลือกอยู่สองทาง คือหนึ่งเช่าจักรยาน ซึ่งปกติเราก็จะเลือกวิธีนี้แหละ แต่เราพิจารณาแล้วว่าฤดูนี้ไม่เหมาะ พื้นจะเละเป็นดินเป็นโคลน ปั่นยาก แทนที่จักรยานจะช่วยเรา จักรยานจะเป็นภาระให้แทน ทางเลือกที่สองก็คือเดิน ครั้งนี้เราเลือกวิธีนี้ และไม่ใช่แค่เราหรอก นักท่องเที่ยวส่วนมากก็เลือกวิธีนี้เช่นกัน

เส้นทางที่จะไป ผาหล่มสัก นั้นจากลานกางเต้นท์วังกวางจะมีด้วยกันสองเส้นทางหลักๆ คือหนึ่ง ตรงไป ทางนี้จะเป็นเส้นทางเลาะริมผา ทางดี เดินง่าย ปั่นจักรยานก็ง่าย มีร้านค้าตามผาต่างๆ เพื่อนเยอะ แต่ว่าระยะทางไกลมากที่สุด ส่วนเส้นทางที่สองจะต้องเลี้ยวขวา เส้นทางนี้จะตัดเข้าป่า ไม่มีร้านค้า ทางเดินบางช่วงเป็นทางชันขึ้นเนินลงเนิน ทางบางช่วงโดนซ้ำกัดเซาะเสียหาย ถนนบางช่วงเป็นทราย และมีจุดที่ต้องลุยน้ำข้ามไป แต่ข้อดีคือเป็นเส้นที่ใกล้ที่สุด และจะผ่านน้ำตก ซึ่งเราเลือกเส้นทางนี้ (ลำบากนิดหน่อย แต่สนุกกว่า) นอกจากสองเส้นทางที่บอกไปแล้ว ระหว่างทางก็ยังมีทางเชื่อมถึงกันอยู่อีกบ้าง ก็แล้วแต่ว่าใครอยากผ่านจุดไหนบ้างก็เลือกเอา









        เราออกเดินมาตามเส้นทางที่สองได้ประมาณ 800 เมตรเราจะผ่าน ลานพระศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นลานหินกว้างที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ ไหนๆก็ผ่านมาแล้วเราจึงแวะสักการะองค์พระเพื่อความสบายใจในการเดินทางท่องเที่ยว จากนั้นก็ออกเดินกันต่อไปเรื่อยๆจนเจอว่าทางขวามือมีทางแยกออกจากทางหลัก เราเลี้ยวขวาออกจากทางหลักไปตามทางแยกนั้นเพราะว่าเราจะไปที่ น้ำตกถ้ำใหญ่ ซึ่งพอเดินเข้ามาได้หน่อยเดียวก็จะสิ้นสุดทางเดินแล้ว ตรงนี้เป็นทางลงน้ำตก จะต้องเดินลงเนินลุยป่านิดๆหน่อยๆ ใครที่ปั่นจักรยานมาจะต้องเอามาจอดตรงนี้ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราก็เลยขอแอคท่าคู่กับจักรยานกันซักหน่อยแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยเดินลงไปที่น้ำตกกัน ที่น้ำตกถ้ำใหญ่จะมีต้นเมเปิ้ลอยู่หลายต้น ในช่วงฤดูหนาวใบเมเปิ้ลจะเปลี่ยนเป็นสีแดงร่วงหล่นเต็มบริเวณพื้นสร้างความตื่นเต้นให้กับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก





หลังจากถ่ายรูปที่น้ำตกกันอยู่ซักพักเราก็เดินย้อนกลับออกมาจนเจอทางหลักเส้นเดิม และมุ่งหน้าเดินกันต่อไปจนถึง สระอโนดาด รวมระยะทางตั้งแต่ที่ วังกวาง มาจนถึงถึงสระอโนดาดก็ประมาณ 3.5 กิโลเมตรเข้าไปแล้ว เราเลยนั่งพักกินขนมกินน้ำที่พกติดตัวกันมาให้พอหายเหนื่อย สระอโนดาดเป็นบึงน้ำขนาดกลางๆที่ถ้าจะพูดกันตรงๆแล้วก็ไม่ได้มีความสวยงามโดดเด่นอะไร แต่ก็ถือเป็นจุดบอกตำแหน่งที่ดีในการเดินป่า








เนื่องจากระยะทางยังอีกยาวไกลเราจึงนั่งพักกันไม่นานมากนัก เราออกเดินกันต่อไปตามเส้นทางสายหลักมุ่งหน้า น้ำตกถ้ำสอเหนือ ระหว่างทางเราผ่านธรรมชาติที่ค่อนข้างหลากหลาย เช่นป่าที่มีแต่ต้นสน ป่าที่มีต้นไม้เยอะๆรกๆ ทุ่งหญ้ากว้างๆ ลานหิน ลำธาร รองเท้าที่ใส่มาเดี๋ยวก็เปื้อน เดี๋ยวก็สะอาด เพราะเดี๋ยวก็ลุยโคลน เดี๋ยวก็ลุยลำธาร ต่อให้เปื้อนแค่ไหนเดี๋ยวก็จะมีโอกาสได้ล้างจนสะอาดเอี่ยมอยู่ดี เราเดินกันไปเรื่อยๆแบบไม่รีบมากแต่ก็ไม่ได้เรื่อยเปื่อยนักจนในที่สุดก็มาถึงทางลง น้ำตกถ้ำสอเหนือ เมื่อมาถึงเราก็หามุมร่มๆนั่งพักและแวะกินมื้อเที่ยงกันก่อน โดยมื้อเที่ยงของเราในวันนี้คือข้าวเหนียวหมูแสนอร่อยที่เราซื้อมาตั้งแต่เช้าและตั้งใจพกมาเพื่อเป็นมื้อกลางวันโดยเฉพาะ



หลังจากอิ่มอร่อยกับมื้อเที่ยงกันแล้วเราก็เบี่ยงออกจากทางหลักเล็กน้อยเดินไต่ลงไปด้านล่างเพื่อไปถ่ายรูป น้ำตกถ้ำสอเหนือ ทางลงถือว่าไม่ยาก แล้วก็ถือว่าเดินไม่ไกลด้วย ลงไปนิดเดียวมีก้มๆเงยๆนิดหน่อยแต่เมื่อลงมาแล้วก็ต้องประทับใจเพราะว่าน้ำตกสวยมาก ม่านน้ำตกกว้างไหลแรงเสียงน้ำตกดังไปสามบ้านแปดบ้านแบบเราต้องตะโกนคุยกัน น้ำเยอะสมกับที่เป็นฤดูฝนจริงๆ



จากนั้นเราก็ออกเดินกันต่อ จากนี้มีทั้งทางขึ้นเนิน ลงเนินเป็นระยะๆ ก็ทำเอาหอบเล็กน้อยอยู่เหมือนกัน แต่โดยรวมก็ถือว่าไปได้เรื่อยๆยังถือเป็นทางราบอยู่ เราเดินกันไปเรื่อยๆตามทาง ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มจะสดใสแล้ว แดดเริ่มออกท้องฟ้าเริ่มสวย เราเดินไปก็ถ่ายรูปต้นไม้ใบใหญ่ไปเรื่อยๆเพราะตอนนี้ถ่ายอะไรแสงก็สวยไปหมด เราเดินไปกันเรื่อยๆจนในที่สุดเราก็ไปถึง ผาหล่มสัก จุดหมายปลายทางในวันนี้ของเรากันเสียที รวมระยะทางตั้งแต่วังกวางมาจนถึงผาหล่มสักก็ปาเข้าไปประมาณ 9 กิโลเมตรกว่าๆ





ผาหล่มสัก จะมีร้านค้า มีห้องน้ำ สิ่งแรกที่เราทำก็คือเลือกร้านอาหารเพื่อหาอะไรอร่อยๆใส่ปาก และที่สำคัญเพื่อเป็นการพักเท้าที่เดินมาตลอดทั้งวันด้วย ตรงนี้มีอาหารขายหลากหลาย ทั้งอาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ ยำต่างๆ หรือจะเลือกเป็นไข่ปิ้ง มันเผา ข้าวเหนียวปิ้งก็มีให้เลือกนะ มาม่า ขนม เครื่องดื่ม นม โอ้ย สารพัด อยากกินอะไรก็สั่งเลย กินข้าวเสร็จแล้วกินน้ำแข็งใสต่อก็ยังได้ เพราะวันนี้เราใช้พลังงานกันไปเยอะจริงๆ




หลังจากกินกันจนอิ่มแล้วเราก็ไปตรงหน้าผาซึ่งเป็นจุดถ่ายรูปที่เป็นไฮไลท์ที่สุดจุดนึงบนภูกระดึง ตรงจุดนี้ถือเป็นแลนด์มาร์คที่มาภูกระดึงแล้วต้องมาให้ถึง เป็นมุมมหาชนที่จะมีคนต่อคิวเพื่อถ่ายรูปกันเกือบตลอดทั้งวัน ลักษณะจะเป็นแผ่นหินยื่นออกไปในอากาศ และจากมุมที่ถ่ายมาก็จะเห็นกิ่งของต้นสนยื่นออกไปในอากาศคู่กับแผ่นหิน นักท่องเที่ยวนิยมออกไปนั่งถ่ายรูปซึ่งก็ให้ความรู้สึกหวาดเสียวอยู่ไม่น้อย แต่ถึงจะน่ากลัวแค่ไหนก็ยังมีคนมาถ่ายรูปกันอยู่ดี ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ไม่พลาด แต่ก็ไม่ครบทุกคนหรอกนะ เอาเป็นว่าใครกล้าก็ออกไปนั่ง ใครไม่ไหวก็หามุมอื่นถ่ายเอา ปลอดภัยไว้ก่อน ไม่เสียหาย



หลังจากถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วเราก็ต้องเดินกันอีกครั้ง เรียกว่าเดินกันไม่จบไม่สิ้นจริงๆ แต่หลังจากนี้จะเป็นการเดินเพื่อกลับที่พักของเราที่วังกวางกันแล้ว ซึ่งเราจะไม่ได้เดินย้อนกลับทางเดิมนะ เพราะเส้นทางเดิมที่เราเดินมาจะไม่อนุญาตให้เดินผ่านในช่วงเย็น เราจะต้องใช้เส้นทางริมผาทางทิศใต้ของภูกระดึง ซึ่งเส้นทางนี้ถือว่าสะดวกสบายกว่าเส้นขามาพอสมควร เพราะนอกจากทางเดินจะดีกว่าแล้วยังมีร้านค้า ร้านอาหารตามผาต่างๆเป็นระยะๆอีกด้วย และถ้าใครจำได้ เส้นทางกลับนี้ก็คือเส้นทางที่หนึ่งที่เคยบอกไปแล้ววในตอนต้นนั่นแหละ



เราเดินไปตามเส้นทางเรื่อยๆและจุดแรกที่เราแวะก็คือ ผาหัวเต่า ตรงนี้จะมีชะง่อนหินยื่นออกมาคล้ายๆหัวเต่า สามารถขึ้นไปนั่ง ไปนอน ไปยืนถ่ายรูปได้ แต่ว่าก็อันตรายอยู่นะ โดยจะมีพื้นดินแคบๆใต้หัวเต่าให้ยืนได้ ซึ่งถ้าถ่ายรูปดีๆก็พอจะหลอกตาได้ เช่นรูปที่เราถ่ายมานี้เหมือนว่าเกาะห้อยอยู่กับแท่นหิน แต่จริงๆคือถ้าภาพกว้างกว่านี้อีกนิดก็จะเห็นว่ามีพื้นดินอยู่ข้างใต้นั่นเอง




ออกจาก ผาหัวเต่า เราก็เดินไปจนถึง ผาแดง ที่นี่มีร้านเล็กๆขายเครื่องดื่ม และอาหารง่ายๆเช่นมาม่า มันเผา ไข่ต้ม เราก็แวะพักขานิดหน่อยคุยกับแม่ค้าไปเรื่อยเปื่อย จากนั้นก็ออกเดินอีกครั้งมุ่งหน้าไป ผาเหยียบเมฆ ซึ่งเรามาถึงก็ประมาณ 17:00 น.แล้ว เราจึงตกลงกันว่าเราจะรอดูพระอาทิตย์ตกกันที่นี่ ว่าแล้วเราก็ออกไปจับจองที่นั่งริมผาและถ่ายรูปเล่นรอเวลากัน ที่ตรงจุดนี้มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆมาดูพระอาทิตย์ตกเหมือนกันอีกหลายคน บรรยากาศคึกคัก ไม่เงียบเหงา ไม่เปลี่ยว ไม่น่ากลัวเลย





กว่าจะถึงที่พักเรายังเหลือระยะทางที่ต้องเดินอีกประมาณ 5.4 กิโลเมตร เมื่อตะวันลับขอบฟ้าเราจึงต้องเริ่มเดินกันอีกครั้ง ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ได้เวลาที่ต้องใช้ไฟฉายที่เตรียมมาให้เป็นประโยชน์ แต่ถึงแม้ว่าทางทางจะมืดแต่ก็ไม่ถึงกับเปลี่ยว เพราะก็มีเพื่อนร่วมทางกลุ่มอื่นๆเดินไปด้วยกันตลอดทาง บางคนปั่นจักรยานมาก็มี ระหว่างทางเราจะเดินผ่าน ผานาน้อย ผาจำศีล แต่ว่าตอนนี้ไม่มีใครสนใจวิวข้างทางแล้วเพราะมันมืดมากมองอะไรไม่เห็นจริงๆ สิ่งที่ยังเห็นอยู่และพอจะช่วยให้เราตื่นเต้นอยู่บ้างก็คือดาวบนท้องฟ้าที่มีให้ดูอยู่เรื่อยๆระหว่างทาง


เมื่อถึง ผาหมากดูก เราจะเลิกเดินเลาะหน้าผากันแล้ว เราเลี้ยวซ้ายเข้าไปด้านในและเดินต่อไปอีกประมาณ 2.7 กิโลเมตร ตรงนี้ไม่รู้ว่าแต่ละคนเอาพลังมาจากไหน ถึงแม้ว่าจะเดินกันมาแล้วทั้งวันแต่ทุกคนยังเดินได้ไวแบบแรงไม่มีตก สงสัยคงเป็นเพราะใจคิดถึงที่นอนกันแล้วนั่นแหละถึงได้เดินกันไวปานสายฟ้าแล่บแบบนี้ และในที่สุดหลังจากเดินกันมาอย่างยาวนาน เราก็กลับมาถึงที่วังกวางกันอย่างหมดสภาพ ตอนนี้แต่ละคนไม่ต่างอะไรกับผู้ประสบภัย นั่งบ้างนอนบ้างระเนระนาดเต็มไปหมด แต่ไม่ใช่ว่าไม่สนุกนะ มันเป็นความเหนื่อย ความลำบาก ที่โคตรสนุก แบบว่ากำลังใจยังดีกันแบบสุดๆ บางคนนั่งพักแปปเดียวก็พากันไปหาหมูกะทะ หาชาบูกินแก้หนาว บางคนไม่หิวก็อาบน้ำเตรียมนอน ก็แล้วแต่ว่าใครจะสะดวกยังไง สรุปในวันนี้คือเราเริ่มเดินกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง จนฟ้าสว่าง จนฟ้ากลับมามืดอีกครั้ง ระยะทางรวมแล้วไม่น่าจะน้อยกว่า 22 กิโลเมตรกันเลยทีเดียว








DAY 3


วันสุดท้ายของทริปไม่มีภารกิจอะไรมากมาย สิ่งที่ต้องทำในวันนี้ก็คือเก็บของพร้อมกลับ เราเก็บกระเป๋ากันเรียบร้อยและเอากระเป๋าไปต่อคิวรอจ้างลูกหาบกันตั้งแต่เวลาประมาณ 5:30 น. จริงๆไม่ต้องเช้าขนาดนี้ก็ได้นะ แต่เราปลอดภัยไว้ก่อนไง เผื่อสายๆลูกหาบหมดแล้วจะงานเข้า รอจนประมาณ 6:00 น. ลูกหาบและเจ้าหน้าที่ก็มา ขั้นตอนก็เหมือนกับวันแรกตอนขาขึ้นนั่นแหละ เราส่งกระเป๋าไปตามคิว เจ้าหน้าที่จะชั่งน้ำหนักกระเป๋าแล้วฉีกหาง Tag ให้เรา ส่วนกระเป๋าถูกส่งต่อให้ลูกหาบ เท่านี้เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน จากนั้นเราก็ตัวเบาแล้วเพราะไม่มีกระเป๋าสัมภาระอีก ก็ไปหาข้าวเช้ากินกัน ค่อยๆกินแบบไม่ต้องรีบอะไร เก็บบรรยากาศบนภูกระดึงกันเป็นครั้งสุดท้าย จนถึงเวลาประมาณ 7:30 น. สมาชิกทุกคนก็พร้อมเดินทาง



เส้นทางขากลับก็ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ทุกคนผ่านมาแล้ว ก็คือเดินย้อนเส้นทางของวันแรกนั่นแหละ เริ่มจาก ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง แล้วก็ไล่ลงไปเรื่อยๆไปจนไปถึง บ้านศรีฐาน ก็เดินไปพักไปเรื่อยๆเหมือนเดิม แต่ขาลงเราจะใช้เวลาน้อยกว่าขาขึ้นโดยอัตโนมัตินะ จนเมื่อลงมาถึงข้างล่างแล้วก็เอาหาง Tag ไปติดต่อรับกระเป๋าจากลูกหาบ แต่ลูกหาบบางคนยังมาไม่ถึงก็มี เราก็ต้องรอเพราะกระเป๋ายังได้ไม่ครบ ระหว่างนี้ใครพร้อมก็สามารถไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ อุทยานมีห้องน้ำไว้คอยบริการ ร้านข้าวร้านขนมก็มี เรานั่งพักพูดคุย ดูรูปกันไปเรื่อยๆจนสมาชิกทุกคนลงมาครบและทำธุระส่วนตัวกันเรียบร้อย จากนั้นก็ขึ้นรถตู้คันเดิมของเรา แล้วก็กลับเข้า กทม เป็นอันจบทริป


End...


-------------------------------------


รูปภาพเก็บตก