แซงได้จ้า ใครเดินเร็วแซงไปก่อนเลย เราไม่ได้เดินช้า แต่เราเน้นชมธรรมชาติจ้าา (พูดปลอบใจตัวเอง)

        *รีวิวกับภาพจะไม่ไปด้วยกันนะ เป็นการเล่าเรื่องและลงภาพแบบรวมๆ


        ได้เวลาของ ภูกระดึง จ.เลย ซักทีนะ คนอื่นๆอาจจะไปกันบ่อยแล้วแต่ว่าเรายังไม่เคยไปไง เราจัดทริปและโพสหาสมาชิกใน Facebook เหมือนเดิม สมาชิกส่วนมากก็เป็นพี่คนเก่าๆที่เคยไปออกทริปด้วยกันมาก่อนแล้ว บางคนก็เป็นผู้หญิงที่มาคนเดียว บางคนมากับแฟน บางคนมากับเพื่อน


        เราออกเดินทางจากกรุงเทพตอนกลางคืนวันที่ 11 ธันวาคม 2563 ระหว่างเดินทางข่าวในโซเชี่ยลก็บอกว่าภูกระดึงลูกหาบหมด น้ำดื่มหมด เครื่องนอนหมด ชิบหายแล้ว!!! เอาไงกันดีวะ ถ้าไม่มีเครื่องนอนจะทำไง จะต้องซื้อน้ำแบกขึ้นเขาไปด้วยหรือเปล่า และที่ชิบหายสุดคือถ้าไม่มีลูกหาบจะทำไง ลำพังแค่เดินตัวเปล่าก็แทบจะกลิ้งตกเขาตายอยู่แล้ว เอาไงดี เอาไงดี ไป !! ไปลุ้นเอาหน้างานละกันนะ




        หลังจากนอนเก็บแรงกันทั้งคืนคนขับรถก็พาเรามาถึงที่ทำการกันแต่เช้ามืด วันนี้เป็นเช้าวันที่ 12 ธันวาคม 2563 ถึงแม้ที่ทำการจะยังไม่เปิดแต่ก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวมากันแล้ว อย่าชักช้าเสียเวลา เพื่อให้ได้คิวดีๆถึงจะหนาวแค่ไหนเราก็ต้องไปยืนต่อคิวที่จุดช่างน้ำหนักสัมภาระเพื่อแย่งชิงลูกหาบมาให้ได้ และเพราะว่าเรามาถึงเร็ว(มาก) เราจึงอยู่ในลำดับที่สองของแถวจ้าา ยืนหน้าชาท้าลมหนาวกันไปซักพักแถวก็ยาวขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่ามาจากไหนกัน ยืนไปนานพอสมควรไฟก็เปิด นักท่องเที่ยวเห็นไฟเปิดก็แตกตื่นแบบมีความหวังแต่เจ้าหน้าที่ยังไม่มานะจ๊ะ ยังต้องรอกันต่อไป ซักพักเจ้าหน้าที่เดินมานักท่องเที่ยวก็แตกฮือกันอีกครั้งเสียงพูดคุยกันดังระงมเซ็งแซ่ไปหมดด้วยความตื่นเต้นว่าจะได้ลูกหาบไหมน้อ หรือจะต้องแบกเป้10กิโลเดินขึ้นเขากันเอง ส่วนเราไม่ได้กังวลมากเพราะต่อคิวอยู่ในลำดับที่สอง ยังไงก็ได้ลูกหาบชัวร์ๆ


        พอได้เวลาเปิดทำการเจ้าหน้าที่ก็เริ่มงานทันที เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทุกคนทราบว่าสัมภาระทุกชิ้นที่จะจ้างลูกหาบต้องมีป้าย Tag ติดกระเป๋า ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถซื้อ Tag ได้ที่ซุ้มฝั่งตรงข้ามใกล้ๆกันในราคาอันละ 5 บาท และนักท่องเที่ยวจะได้สิทธิ์จ้างลูกหาบตามลำดับของคนที่ซื้อ Tag ติดกระเป๋า เท่ากับว่าที่เรายืนหน้าด้านท้าลมหนาวมา 2-3 ชั่วโมงไม่มีความหมายจ้าาา แต่ก็เอาเถอะ เราโง่เอง 555


        หลังจากต้องไปต่อคิวใหม่เพื่อซื้อ Tag ติดกระเป๋าและรับคิวมาแล้ว เราก็เขียนชื่อ เบอร์โทรศัพท์ลงใน Tag และติดกระเป๋าให้เรียบร้อยทุกใบ พอเจ้าหน้าที่เรียกคิวของเรา เราก็เอากระเป๋าไปช่างน้ำหนัก แล้วกระเป๋าก็ถูกส่งต่อให้กับลูกหาบต่อไป จบขั้นตอนการจ้างลูกหาบ เตรียมพร้อมเดินขึ้นเขา (ในขั้นตอนนี้ยังไม่ต้องจ่ายเงินค่าลูกหาบ ไปจ่ายข้างบนตอนรับของนะจ๊ะ)

        เมื่อถึงเวลาหกโมงตรง เจ้าหน้าที่ก็อนุญาตให้ผ่านประตูเริ่มต้นเดินขึ้นเขากันได้ทันที จากที่ทำการนี้ไปจนจนถึงลานกางเต้นท์เราต้องเดินเท้าเป็นระยะทางรวมประมาณ 9 กิโลเมตร แบ่งเป็นทางขึ้นเขาประมาณ 5.5 กิโลเมตร (มีจุดแวะพักเป็นช่วงๆ มีน้ำมีอาหารขาย) และทางราบอีกประมาณ 3.6 กิโลเมตร





        ทางเดินโดยรวมเราว่าไม่ยากนะ คือเอาจริงๆทางมันไม่ได้ชันไม่ได้น่ากลัวมากมาย ใครๆก็เดินได้ มีแค่ช่วงสุดท้ายที่มีความชันอยู่เล็กน้อยแต่ก็มีบันไดเหล็กที่ค่อนข้างแข็งแรงให้เดินขึ้นได้สะดวกๆ ที่เป็นปัญหาน่าจะเป็นระยะทางมากกว่า เพราะถึงแม้ทางเดินจะไม่ยาก แต่ถ้าเดินขึ้นเนินนานๆระยะไกลๆมันก็เหนื่อยและล้าเป็นเรื่องปกติ แต่เราเห็นพ่อแม่พาเด็กตัวเล็กๆมาเดินขึ้นเขาอยู่หลายคนนะ อยากจะบอกทุกคนที่ยังไม่เคยไปว่าไม่ต้องรีบหรอก ค่อยๆเดิน อยากพักก็พัก อยากแวะก็แวะ ใครถึงก่อนก็ให้เขาถึงไป เรื่องของเขา อย่าไปเร่งมากเดี๋ยวหัวใจทำงานหนัก ถือซะว่าเดินชมธรรมชาติกันไป




        ขออนุญาติตัดภาพวาร์บผ่านซำต่างๆระยะทางกว่า 5.5 กิโลเมตรขึ้นมาถึงยอดเขาเลยนะ ตรงจุดนี้เรียกว่า "หลังแป" เป็นจุดสิ้นสุดทางขึ้นเขา คือจากนี้ไปจะไม่ต้องเดินขึ้นเขาอีกแล้ว ตรงจุดนี้จะมีป้ายผู้พิชิตภูกระดึงไว้ให้ถ่ายรูปด้วย แน่นอนว่าได้รับความนิยมมากจนถึงขั้นต้องต่อแถวถ่ายรูปกันเลยละ หลังจากที่เราแวะพักตรงจุดนี้พักนึงเราก็เดินกันต่ออีก 3.6 กิโลเมตร แต่จะเป็นทางราบไปตลอด ไม่มีทางชันหรือทางขึ้นเขาอีกแล้ว เชื่อเถอะว่าหลังจากที่ผ่านการขึ้นเขามาแล้วจากตรงนี้เราจะเดินง่ายเดินได้เรื่อยๆแบบสบายๆกันเลยทีเดียวละ





        หลังจากเดินกันมานาน ระยะทางรวม 9 กิโลเมตร ในที่สุดเราก็มาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวกันซะที แต่งานของเรายังไม่จบ เพราะเต้นท์ที่จองไว้คือเต้นท์เปล่าๆ ไม่มีเครื่องนอนให้ เราต้องไปติดต่อเช่าเครื่องนอนเพิ่มอีก ซึ่งก็คือพวกแผ่นรองนอน หมอน ผ้าห่ม ถุงนอน ใครอยากได้อะไรก็เลือกเอา บางคนมีมาเองก็ไม่ต้องเช่า ไม่ต้องเสียเงินส่วนนี้ พอเห็นลานกางเต้นท์นะคุณเอ้ย เต้นท์เยอะมากกกก เหมือนกับค่ายผู้ประสบภัยอะไรซักอย่างอย่างไงอย่างงั้น ข้อดีคือมีเพื่อนเยอะ ไม่เหงาแน่นอน แต่ข้อเสียคือต้องยืนตบยุงต่อคิวเข้าห้องน้ำนาน และตอนกลางคืนถ้าเจอเต้นท์ข้างๆเสียงดังก็ต้องทำใจ เที่ยววันหยุดยาวก็แบบนี้แหละเนอะ หลังจากได้เครื่องนอนแล้วเราก็ใช้เวลาช่วงนี้พักเหนื่อย บางคนเข้าเต้นท์ไปนอนหลับเอาแรง บางคนก็ไปหาข้าวหาน้ำกิน เพื่อรอไปชมพระอาทิตย์ตกดินในเย็น




        หลังจากพักผ่อนเอาแรงกันแล้วกันแล้วก็ได้เวลาดีที่เราจะไปชมพระอาทิตย์ตกกันที่ "ผาหมากดูก" กัน ซึ่งจากลานกางเต้นท์เราต้องเดินไปประมาณ 2.2 กิโลเมตร ซึ่งแน่นอนว่าขากลับเราก็ต้องกลับมาอีก 2.2 กิโลเมตรเช่นกัน คืนแรกบนภูกระดึงอาการค่อนข้างเย็นสิ่งที่ขายดีก็คือพวกหมูกะทะ จิ้มจุ่ม น้ำเต้าหู้ ซึ่งบริเวณลานกางเต้นท์นี้มีร้านค้าเยอะมาก อยากกินร้านไหนก็เลือกเอาได้ตามสะดวก แต่ของที่ขายส่วนมากก็จะซ้ำกันๆ แต่อย่าไปหวังอะไรมากเรื่องรสชาติเลยนะ ถือซะว่าพี่ขอ หวังเยอะก็เจ็บเยอะ ร้านอร่อยๆก็มีหลายร้าน ร้านอร่อยน้อยหน่อยก็มีเยอะ อยู่บนเขาบนดอยมีให้กินก็ดีแล้ว อ้อ อีกอย่าง ราคาอาหารที่นี่แพงกว่าข้างล่างมากเพราะการขนส่งขึ้นมายากลำบาก ตัวอย่างเช่นนมแลคตาซอย 1 กล่องที่ข้างล่างขาย 10 บาท แต่บนนี้ขาย 40 บาท แต่อย่าไปคิดมากเลย มันเป็นราคาปกติของที่นี่แหละ





        เช้าวันต่อมา หรือเช้าวันที่ 13 ธันวาคม 2563 เรานัดหมายกันตั้งแต่เช้ามืด เพราะเราจะไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ "อ่างเก็บน้ำวังกวาง" ที่นี่เราจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นสะท้อนผิวน้ำสวยงามมาก และช่วงเช้าแบบนี้ก็จะมีหมอกบางๆขึ้นบริเวณเหนือผิวน้ำให้ดูด้วย แน่นอนว่าจากลานกางเต้นท์เราต้องเดินเท้าไปอีกเช่นเคย แต่รอบนี้ดีหน่อยเพราะไม่ไกลมาก ระยะทางไปกลับประมาณ 2 กิโลเมตรจ๊ะ




        กลับมาจากอ่างเก็บน้ำแล้วเราก็มาหาข้าวหาน้ำกิน ทำธุระส่วนตัวและนัดหมายกันอีกครั้ง เพราะวันนี้เราจะปั่นจักรยานเที่ยวตามจุดต่างๆบนภูกระดึงกันจ้าา

        หลังจากสมาชิกทุกคนกินข้าว และทำธุระส่วนตัวกันเสร็จเรียบร้อยก็พร้อมออกตะลุยภูกระดึงกัน ทริปนี้เราจะแบ่งเป็นกลุ่ม A และ กลุ่ม B กลุ่ม A จะปั่นจักรยาน กลุ่ม B จะเดินเท้า ซึ่งจริงๆแล้วการเดินเท้าจะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวส่วนมใหญ่มากกว่า


        สมาชิกกลุ่ม A เดินทางไปรับจักรยานที่ติดต่อเช่าเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน จักรยานบนภูกระดึงจะเป็นจักรยานแบบมีเกียร์ ล้อใหญ่ น้ำหนักมาก ไม่ใช่จักรยานที่แม่บ้านปั่นไปจ่ายตลาดกันนะ ใครที่ไม่เคยปั่นจักรยานแบบนี้ต้องขอเตือนว่าไม่ง่ายจ้าา แล้วเส้นทางก็มีทั้งทางลงเขา ทางขึ้นเขา ทางเป็นหลุมเป็นบ่อ ทางต่างระดับ รากไม้ ต้องลุยน้ำ ต้องลุยทราย ไม่มีอย่างเดียวก็คือทางปูนเรียบๆสบายๆนั่นแหละ



        ระหว่างที่กลุ่ม A ยังคงเสียเวลาอยู่กับการลองจักรยาน สมาชิกกลุ่ม B ก็ออกเดินทางล่วงหน้าไปแล้ว จุดหมายแรกก็คือผานาน้อย หน้าผาสูงที่อยู่ทางทิศใต้ของภูกระดึง ผานาน้อยอยู่ห่างจากจุดกางเต้นท์ประมาณ 3 กิโลเมตร แต่ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูหนาว แดดไม่ได้ร้อนนรกแตกมาก มีลมเย็นๆพัดตลอดทั้งวันจึงยังทำให้เดินกันได้เรื่อยๆ ระหว่างทางก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆเดินไปในเส้นทางเดียวกันอยู่ตลอด ไม่เปลี่ยว ไม่เหงา ไม่หลงแน่นอน

        สำหรับสมาชิกกลุ่ม A หลังจากลองจักรยานกันจนพอใจแล้วก็รับถุงมือตัดอ้อยคนละ 1 คู่ ควรสวมถุงมือนี้ตลอดระหว่างปั่นจักรยานนะ เพราะด้วยเส้นทางที่ทรหดทำให้เราต้องเกร็งข้อมือและกำแฮนด์จักรยานแน่นมากๆ ใครไม่ใส่ก็รับรองว่ามือแหกถลอกปอกเปิดแน่นอน เมื่อทุกคนพร้อมก็เริ่มต้นออกเดินทาง เป้าหมายแรกของกลุ่มนี้คือลานพระศรีนครินทร์ ลักษณะเป็นลานหินโล่ง มีองค์พระพุทธเมตตาประดิษฐานเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในพื้นที่ เราแวะไหว้พระเพื่อเป็นศิริมงคล และแน่นอนว่าต้องถ่ายรูปหมู่หน้าองค์พระกันเป็นที่ระลึกด้วย


        หลังจากนั้นเราก็ปั่นกันต่อจนมาถึง น้ำตกถ้ำใหญ่ น้ำตกที่มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงและมีขนาดพอสมควร แต่เพราะช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูฝน ปริมาณน้ำก็เลยน้อยมากๆ มีไหลเป็นเส้นเล็กๆอยู่แค่เส้นเดียว แต่ข้อดีก็คือช่วงนี้ใบเมเปิ้ลจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและร่วงลงมาที่ลานหินด้านล่างจำนวนมากสร้างความสวยงามแปลกตาพอสมควร ที่บริเวณนี้มีนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มจับจองมุมต่างๆถ่ายรูปกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ส่วนมากมักจะมีใบเมเปิ้ลเป็นพร็อพกันเกือบทุกคน เราถ่ายรูปบริเวณนี้กันจนพอใจ จากนั้นเราก็เดินกลับออกไปยังจุดที่เราจอดรถจักรยานไว้ แล้วเราก็ปั่นกันต่อ มุ่งหน้ากันไปที่สระอโนนาต ที่สระอโนดาตนี้เอาจริงๆก็ไม่มีอะไรพิเศษแปลกตา แต่ไหนๆเราก็ผ่านมาแล้วก็แวะถ่ายรูปกันหน่อย




        สำหรับสมาชิกกลุ่ม B หลังจากที่แวะผานาน้อยกันแล้วก็เริ่มต้นเดินกันต่อ โดยตลอดเส้นทางที่เดิน ทางด้านซ้ายมือจะเป็นหน้าผาสูงตลอดทั้งเส้นทาง เรียกง่ายๆว่าเดินเลียบหน้าผานั่นแหละ แต่ทางเดินไม่ได้ชิดติดหน้าผาอะไรขนาดนั้นนะ ไม่น่ากลัวเลย ทางเดินสร้างห่างออกมามาพอสมควรและริมผาก็มีต้นไม้สูงขึ้นอยู่ บางช่วงถ้าไม่สังเกตดีๆก็ไม่รู้ตัวเลยละว่าเดินอยู่ใกล้ริมหน้าผาแค่นี้เอง หลังจากเดินกันมาไกลประมาณ 1,562 เมตร หรือประมาณ 1.5 กิโลเมตร ก็ถึงอีกหนึ่งจุดเช็คอิน ตรงนี้เรียกว่าผาเหยียบเมฆ พอดีกับที่เดินทางกันมาได้ครึ่งวันแล้วและที่นี่มีร้านค้าขายอาหารและเครื่องดื่ม เราเลยหยุดทานข้าวและหยุดแวะพักที่ตรงนี้กัน ก่อนจะเริ่มเดินทางอีกครั้งไปที่ผาหล่มสัก เป้าหมายหลักของวันนี้กัน



        ในขณะที่กลุ่ม B ถึงผาหล่มสักแล้ว สมาชิกกลุ่ม A ยังคงไปไม่ถึงไหน ปั่นจักรยานเร็วกว่าเดินก็จริง แต่ก็แวะเรื่อยเปื่อยตลอดทาง ไปจุดนั้นจุดนี้เยอะแยะไปหมด กว่าจะไปถึงผาหล่มสัก สมาชิกกลุ่ม B ก็เริ่มต้นเดินกลับกันไปแล้ว กว่ากลุ่ม A จะกลับถึงลานกางเต้นท์ก็คือตอนค่ำที่พระอาทิตย์ตกไปแล้ว แถมยังระบมไปหมดทั้งตัวเลยด้วยนะ


        คืนนี้เรานอนค้างบนภูกระดึงกันเป็นคืนที่สอง คืนนี้อากาศไม่หนาวเท่าคืนแรก แต่ก็ถือว่าหนาวอยู่สำหรับคนเมือง เช้าวันต่อมา 14 ธันวาคม 2563 เราตื่นกันตั้งแต่เช้ามืดเพราะว่าเราจะเดินลงกันในวันนี้ แน่นอนว่าต้องไปต่อคิวช่วงชิงลูกหาบเหมือนเดิม แต่ก็เป็นไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหาอะไร หลังจากฝากสัมภาระทั้งหมดไปกับลูกหาบแล้วก็เป็นอันเสร็จพิธี เราก็ไปหาข้าวหาปลากินเพิ่มพลัง จากนั้นก็เริ่มต้นเดินลงจากภูกระดึงทันที ขาลงนี้เราค่อนข้างลงกันแบบชิลๆ ไม่เร่งรีบอะไร เดินไปพักไป ตลอดทางมีคนเดินลงพร้อมๆกับเราหลายร้อยคน คนที่เดินสวนขึ้นมาก็มีหลายคน เราก็ค่อยๆๆเดินจนลงถึงด้านล่างในที่สุด จากนั้นก็ขึ้นรถตู้กลับ กทม เป็นอันจบทริป


        สำหรับทริปนี้จะรีวิวยาวนิดนึงเพราะเราไม่ค่อยจัดทริปแนวนี้ ต้องขอบคุณสมาชิกที่น่ารักทุกๆคนมากๆ ทุกคนน่ารักหมด ทริปนี้แน่นอนว่ามีความยากลำบากหนักมากกว่าทุกทริป เราเองก็ไม่สามารถดูแลได้ครอบคลุมและทั่วถึง แต่ทุกคนพร้อมให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา ไม่มีบ่น ไม่มีโวยวายใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้จะเป็นทริปที่ระบมกันไปทั้งตัว แต่ก็เป็นทริปที่ประทับใจมากๆ เหนื่อยมากแต่ก็สนุกมากๆเช่นกัน แล้วไว้เจอกันใหม่อีกครั้งทริปหน้าครับ


        เพื่อนไม่ว่าง ไม่มีรถส่วนตัว สนใจอยากไปร่วมทริปกับเรา เข้าไปพูดคุยกันได้ที่กลุ่มใน Facebook นะครับ >>Click<<